เดวิด เบ็คแฮม หนึ่งในนักเตะชื่อดังในโลกฟุตบอล คือปรากฏการณ์ที่สั่นสะท้านวงการไปทั่วโลก แต่ส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาตลอดกาลก็คือทีมปีศาจแดง เขาลงเล่นทางกราบขวาให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นเวลา 1 ทศวรรษ ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ลูกยิงจากระยะ 57 หลาของเขาในเกมที่พบกับวิมเบิลดันถูกนำมาฉายซ้ำแทบจะตลอดเวลา เขาเดินตามรอยฮีโร่ในวัยเด็กอย่าง ไบรอัน ร็อบสัน ด้วยการเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษ และก็เป็นนักเตะทีมสิงโตคำรามเพียงคนเดียวที่ยิงประตูได้ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 3 สมัย เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในเดือนกรกฏาคม ปี 1991 เมื่อแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนหนึ่งเดินทางขึ้นเหนือจากเลย์ตันสโตนเพื่อเซ็นสัญญากับทีมปีศาจแดง เขาเป็นส่วนหนึ่งของคลาส ออฟ 92 ที่คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ร่วมกับ นิคกี้ บัตต์, พอล สโคลส์ และ สองพี่น้องเนวิลล์ แต่เขาก็ยังต้องรอเกมประเดิมสนามไปก่อน ซึ่งมาเกิดขึ้นในเกมเปิดบ้านเจอลีดส์ ยูไนเต็ด วันที่ 2 เมษายน ปี 1995 หลังจากที่ อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ย้ายออกไป ทำให้เขาได้รับโอกาสลงเล่นทางด้านขวา เบ็คแฮมยิงประตูชัยในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ที่เจอกับเชลซีได้ ทำเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กคนนี้คือของจริง ฤดูกาลนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบลงด้วยการเป็นรองแชมป์ 2 รายการ เขาเริ่มต้นฤดูกาล 1996-1997 ด้วยประตูดังกล่าวจากเส้นครึ่งสนามที่เซลเฮิร์สท พาร์ค และเดือนต่อมาเขาก็ได้ติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกเจอกับมอลโดวา ฤดูกาลจบลงด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก แต่ในปี 1998 อาร์เซนอลก็มาแย่งแชมป์ไปครอง เบ็คแฮมได้ไปเตะฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส และก็มีความทรงจำอันเลวร้าย เขาไม่ได้ลงเล่นใน 2 เกมแรกให้กับทีมชาติอังกฤษ ก่อนที่จะมายิงฟรีคิกได้ในเกมเจอกับโคลอมเบีย เขากำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่ของชาติอยู่แล้ว หากว่าไม่ไปเจอกับเหตุการณ์ในเกมที่พบกับอาร์เจนตินาในรอบที่ 2 เขาถูกไล่ออกหลังจากไปทำฟาวล์ใส่ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ จากนั้นทีมสิงโตคำรามที่เหลือผู้เล่นเพียง 10 คนก็ถูกเขี่ยตกรอบ เขาถูกสื่อมวลชน และแฟนบอลทั้งประเทศรุมกล่าวโทษ แต่เขาก็เป็นที่ต้อนรับเมื่อกลับมายังอ้อมแขนของครอบครัวแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเบ็คแฮมก็เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการซัดฟรีคิกใส่เลสเตอร์ ซิตี้ ในเกมแรกของฤดูกาล 1998-1999 ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จบลงด้วยความฝันอันสูงสุดของทีมปีศาจแดงทั้งหลาย... นั่นก็คือทริปเปิ้ลแชมป์ ฤดูกาลต่อมาเป็นชัยชนะในพรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 4 สำหรับเขา และเบ็คแฮมก็ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีอันดับที่ 2 ของยุโรป และของโลก ริวัลโด้ จากบาร์เซโลน่าเป็นผู้ที่คว้าอับดับที่ 1 ไปครองทั้ง 2 รายการ ฤดูกาล 2000-2001 เป็นปีที่เขามีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมชาติอังกฤษได้ไปเตะในฟุตบอลโลก 2002 ด้วยประตูชัยสุดสวยที่พบกับกรีซที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เบ็คแฮมเกือบพลาดไปเตะในรอบสุดท้าย เนื่องจากกระดูกฝ่าเท้าแตกในเกมที่พบกับเดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า ในแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สุดท้ายเขาก็หายบาดเจ็บได้ทันเวลา และยิงประตูได้จากลูกจุดโทษในเกมพบกับอาร์เจนตินาในฟุตบอลโลก ฤดูกาล 2002-2003 กลายเป็นฉากสุดท้ายของเขาในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเริ่มไม่ค่อยสู้ดีนัก และมันก็ยิ่งแย่เข้าไปอีกเมื่อจบเกมที่แพ้คาบ้านต่ออาร์เซนอลในเอฟเอ คัพ นั้นเกิดเหตุการณ์รองเท้าสตั๊ดบินในห้องแต่งตัว ซึ่งผู้จัดการทีมบังเอิญเตะมันไปโดนหน้าของเบ็คแฮมเต็มๆ จากนั้นเบ็คแฮมก็ถูกดร็อปในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับเรอัล มาดริด ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวลงมายิงได้ 2 ประตู แต่นั่นก็ไม่เพียงพอสำหรับทีมปีศาจแดง หลังจากที่มีการคาดเดากันไปต่างๆ นานามาหลายเดือน ในที่สุดเบ็คแฮมก็ย้ายไปเล่นกับเรอัล มาดริด หลังจากที่คว้าเหรียญแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้เป็นสมัยที่ 5 โดยปิดท้ายด้วยฟรีคิกในนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่เจอกับเอฟเวอร์ตัน อ้างอิง: https://football.kapook.com/news-30313 |
David Beckham
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น